วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2558

สถิติกับการตัดสินใจและวางแผน



สถิติกับการตัดสินใจและวางแผนงาน

          ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน อาจกล่าวได้ว่าต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา การตัดสินใจดังกล่าวอาจจะเป็นการตัดสินใจเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูง หรือเพื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น
          ตัดสินใจว่า วันนี้จะเดินทางไปโรงเรียนโดยใช้รถประจำทางสายใดดี
          ตัดสินใจว่า ควรจะซื้อประกันชีวิตแบบใดกับบริษัทใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
          ตัดสินใจว่า ควรจะเลือกซึ้อเครื่องปรับอากาศยี่ห้อใดจึงจะประหยัดพลังงานไฟฟ้า
          ตัดสินใจว่า จะซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ยี่ห้อใดมาใช้งานในบริษัทหรือโรงงาน
          การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ แต่ละคนอาจมีวิธีตัดสินใจที่แตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ประสบการณ์ของตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ใช้ความเชื่อของตนเองหรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ ใช้สามัญสำนึก หรือบางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหรือข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
          การตัดสินใจโดยวิธีต่าง ๆ ข้างต้นนี้บางครั้งก็ตัดสินใจถูกแต่บางครั้งก็ตัดสินใจผิด ทั้งนี้ขี้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชื่อ สามัญสำนึก หรือข้อมูลข่าวสารที่แต่ละคนมีอยู่ว่าถูกต้องและเหมาะสมกับลักษณะของปัญหา ที่ผู้นั้นต้องตัดสินใจมากเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะใช้วิธีการใดมาช่วย ในการตัดสินใจก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลและข่าวสารไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งสิ้น ตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจว่าจะขายสินค้าในราคาที่ลูกค้าต่อรองหรือไม่ อาจพิจารณาลักษณะการเป็นลูกค้าของผู้ซื้อว่าเป็นลูกค้าประจำหรือลูกค้าจร การตัดสินใจดังกล่าวข้างต้นหากผู้ตัดสินใจทราบหรือมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากเพียวใด โอกาสที่จะตัดสินใจพลาดก็จะน้อยลงเพียงนั้น แต่การตัดสินใจบางเรื่อง การใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้โดยตรง แต่จะต้องนำมาวิเคราะห์เสียก่อนซึ่งอาจใช้วิธีวิเคราะห์เบื้องต้นง่าย ๆ เพื่อทราบลักษณะทั่ว ๆ ไปของข้อมูล เช่น การจำแนกข้อมูลตามลักษณะต่าง ๆ ที่สำคัญเรียกว่าการแจกแจงความถี่ การหาสัดส่วนหรือร้อยละ การหาค่าเฉลี่ยและค่าการกระจายของข้อมูล ที่เรียกว่าค่ากลางและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตามลำดับ หรืออาจใช้วิธีวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น การประมาณค่าข้อมูล การทดสอบสมมุติฐานหรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและการพยากรณ์ข้อมูลในอนาคต ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน
          การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ข้างต้นในบางเรื่องอาจจะไม่สามารถใช้ข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวได้ ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จึงจะนำมาใช้เพื่อการตัดสินใจได้ ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วนี้ ไม่ว่าจะวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เบื้องต้นหรือวิเคราะห์ขั้นสูงก็ตาม เรียกว่าสารสนเทศ หรือข่าวสาร (Information) 
          กล่าว โดยสรุปก็คือการตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อมูลและ สารสนเทศซึ่งผู้ตัดสินใจมีอยู่เป็นสำคัญ ข้อมูลและสารสนเทศดังกล่าวนี้สามารถหามาได้โดยใช้วิธีการทางสถิติซึ่งเป็น วิชาการหรือเทคนิคเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลนั่นเอง
          ใน การใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและวางแผนไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจและวางแผนใน ชีวิตประจำวันหรือในการประกอบอาชีพก็ตาม ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องทราบว่ามีข้อมูลและ/หรือข่าวสารที่จำเป็นอะไรบ้างที่ สามารถนำมาใช้ช่วยในการตัดสินใจได้หากต้องการใช้ข้อมูลใดก็จะต้องตรวจสอบ เสียก่อนว่ามีใครหรือหน่วยงานใดเป็นผู้ผลิตหรือเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้ หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีข้อมูลที่ต้องการก่อนจะนำมาใช้ก็ต้องตรวจสอบ ความครบถ้วน ความทันสมัยและความเชื่อถือได้ของข้อมูลเสียก่อน หากข้อมูลขาดสมบัติดังกล่าว ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเอง การเก็บรวบรวมข้อมูลเองนี้หากข้อมูลที่ต้องการทราบมีขอบเขตกว้างขวาง อาจจำเป็นต้องใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างจำนวนหนึ่งที่เลือกมาเป็น ตัวแทนของผู้ให้ข้อมูลเท่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการ เก็บรวบรวมข้อมูล การที่จะได้ตัวอย่างมาเป็นตัวแทนที่ดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการนี้ จะต้องใช้วิธีเลือกตัวอย่าง และจำนวนตัวอย่างที่เหมาะสมด้วย
          สำหรับสารสนเทศที่จำเป็นต้องใช้ในการตัดสินใจและวางแผนนั้น ผู้ตัดสินใจจะต้องเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับคำตอบที่ต้องการได้ รับเสียก่อน ที้งนี้เนื่องจากโดยที่ว ๆ ไป วิธีใช้ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับวัตถุประสงค์เดียวกันมักมีหลายวิธี เช่น การหาค่ากลางหรือตัวแทนของข้อมูลอาจจะใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน หรือฐานนิยมก็ได้ การหาค่ากลางแต่ละวิธีก็มีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลหรือวัตถุประสงค์ ของผู้วิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้ต่อเดือนของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม หากรายได้ของพนักงานแต่ละคนใกล้เคียงกัน อาจใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตได้ แต่ถ้าพนักงานส่วนน้อยมีรายได้สูงมาก เมื่อเทียบกับพนักงานส่วนใหญ่ การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้อาจจำเป็นต้องใช้ค่ามัธยฐานแทน หรือในการพยากรณ์ยอดขายสินค้าของบริษัทในปีถัดไป ผู้พยากรณ์ อาจต้องการทราบแต่เพียงว่าปีหน้าบริษัทควรจะขายสินค้าได้เท่าไร หรือต้องการทราบทั้งยอดขายสินค้าในปีหน้า และปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายสินค้าดังกล่าวด้วย การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์แรกอาจใช้วิธีวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time series analysis) แต่การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์หลังอาจใช้วิธีวิเคราะห์ความถดถอย (Regression analysis) การวิเคราะห์โดยวิธีทั้งสองนี้จะใช้ข้อมูลที่แตกต่างกัน นั่นคือ วิธีวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นตัวกำหนดข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้
          ดังนั้นโดยทั่ว ๆ ไปหากผู้วิเคราะห์ยังไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีใดจะไม่สามารถกำหนด ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ได้ จึงอาจสรุปได้ว่าผู้วิเคราะห์ไม่ควรเริ่มต้นการใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและ วางแผนโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนแล้วค่อยมาหาวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไป วิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้เพราะผู้วิเคราะห์อาจำม่สามารถหาวิธีวิเคราะห์ใดที่เหมาะสมกับข้อมูล ที่มีอยู่แล้วได้ เนื่องจากขาดสมบัติบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีนั้น ๆ

อมูลและการเก็บรวบรวมข้อมูล

    ความหมายของข้อมูล 
          ข้อมูล เป็นข้อความจริงหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพ สถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง โดยที่ข้อมูลอาจเป็นตัวเลขหรือข้อความก็ได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2547 คณะรัฐมนตรีกำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก หรือในเดือนกันยายน 2547 น้ำมันเบนซิน 91 จำหน่ายในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราคาลิตรละ 20.99 บาท โดยทั่ว ๆ ไป ข้อมูลมักจะอยู่ในรูปตัวเลขซึ่งมีหลาย ๆ จำนวนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบขนาดกันได้ เช่น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 กันยายน 2547 ไทยส่งออกข้าวไปยังประเทศหนึ่งรวม 2.88 ล้านตัน ลดลงจาก 5.00 ล้านตัน ของการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.4
          ข้อมูลเชิงสถิติเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาประมวลผลหรือวิเคราะห์ด้วยกระบวนการ หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ ได้

            ประเภทของข้อมูล 
          ประเภทของข้อมูลสามารถจำแนกได้จากวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และจากลักษณะของข้อมูล
           การจำแนกข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 
          เมื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) และ ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data)
          1) ข้อมูลปฐมภูมิ  คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้จะต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดย ตรง ซึ่งอาจทำได้โดยการสัมภาษณ์ วัด นับ หรือสังเกตจากแหล่งข้อมูลโดยตรง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีผู้ใดเก็บรวบรวมไว้ก่อน
          การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ทำได้ 2 วิธีคือ  การสำมะโน  (census) และการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง (sample survey)
          (1) การสำมะโน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษา ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม ข้อมูลมาก การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีนี้จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในทางปฏิบัติ ยกเว้นกรณีที่ประชากรมีขนาดเล็กหรือมีขอบเขตไม่กว้างขวางนัก
          (2) การสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบางหน่วยที่เลือกมาเป็นตัวแทนจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษาเท่านั้นเนื่องจากการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากทุกหน่วยของประชากร อาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เพราะสิ่งที่ต้องการศึกษาอาจจะมีบางกลุ่มที่มีลักษณะที่ต้องการศึกษาอยู่ เหมือน ๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมาก การเลือกตัวอย่างหรือตัวแทนของแต่ละกลุ่มมาทำการศึกษาก็เป็นการเพียงพอที่จะ ทำให้สามารถประมาณค่าของสิ่งที่เราต้องการศึกษาทั้งหมดได้ เช่น การสำรวจราคาเฉลี่ยของสินค้าชนิดหนึ่งที่มีขนาดบรรจุใกล้เคียงกันจากร้านค้า ปลีกทั่วประเทศ ราคามักจะใกล้เคียงกันด้วย ดังนั้นเราอาจเลือกร้านค้าปลีกเพียงบางร้านมาเป็นตัวแทนของร้านค้าปลีกทั้ง หมดได้ แต่จำนวนร้านค้าปลีกที่เลือกมาเป็นตัวแทนจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดขึ้น อยู่กับความต้องการของผู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่าต้องการให้ราคาเฉลี่ยของราคา สินค้าชนิดนั้นที่หาได้จากราคาสินค้าในร้านค้าตัวอย่างที่เลือกขึ้นมาเพื่อ เก็บรวบรวมข้อมูลนี้ใกล้เคียงกับค่าที่ควรเป็นจริงซึ่งได้จากการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากร้ายค้าปลีกทุก ๆ ร้านมากน้อยเพียงใด ถ้าต้องการให้ได้ผลใกล้เคียงมากก็ควรเลือกตัวอย่างร้านค้าปลีกมาเก็บรวบรวม ข้อมูลเป็นจำนวนมาก
           2) ข้อมูลทุติยภูมิ  คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูล โดยตรง แต่ได้จากข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้ว ข้อมูลประเภทนี้ ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอง สามารถนำข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้จะต้องระมัดระวังในการนำข้อมูลประเภทนี้มาใช้ให้มาก เนื่องจากมีโอกาสผิดพลากได้มากหากผู้เก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่างใช้วิธีเก็บ รวบรวมข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
           แหล่งที่มาของข้อมูลทุติยภูมิที่สำคัญ คือ 
          (1) รายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาล โดยทั่ว ๆ ไป หน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐบาล มักจะมีรายงานแสดงข้อมูลพิมพ์ออกมาเผยแพร่เป็นประจำซึ่งอาจเป็นรายงานราย เดือน รายสามเดือน หรือรายปี ข้อมูลที่ได้จากรายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาลนี้อาจถือได้ว่าเป็นที่มาของข้อมูล ทุติยภูมิที่สำคัญที่สุด
          (2) รายงานและบทความจากหนังสือหรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน หน่วยงานของเอกชนบางแห่งโดยเฉพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ จะพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของตนออกเผยแพร่เช่นเดียวกับหน่วยงาน ของราชการ เช่น รายงานประจำเดือนของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน หรือสื่ออื่น ๆ มักจะมีข้อมูลทุติยภูมิประกอบบทความหรือรายงานด้วย

           การจำแนกประเภทของข้อมูลคามลักษณะของข้อมูล 
          มื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามลักษณะของข้อมูลจะจำแนกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ  ข้อมูลเชิงปริมาณ  (quantitative data) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data)
           1) ข้อมูลเชิงปริมาณ  คือ ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณซึ่งวัดออกมาเป็นจำนวนที่สามารถนำมาใช้เปรียบ เทียบกันได้โดยตรง เช่นปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกในแต่ละปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ จำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ยของครอบครัวไทย
           2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ  คือ ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นจำนวนได้โดยตรงแต่อธิบายลักษณะหรือคุณสมบัติ ในเชิงคุณภาพได้ เช่น เพศของสมาชิกในครอบครัวสถานภาพสมรสของพนักงานในบริษัทห้างร้านหรือความคิด เห็นของประชาชน การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ส่วนใหญ่ทำโดยการนับจำนวนจำแนกตามลักษณะเชิง คุณภาพ เช่น นับจำนวนพนักงานที่เป็นโสด ที่สมรสแล้ว ที่หย่าร้าง และที่เป็นหม้ายว่ามีอย่างละกี่คน ข้อมูลเชิงคุณภาพบางลักษณะสามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่ได้ เช่น ความชอบ วัดในรูป ชอบมากที่สุด ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบน้อย ไม่ชอบเลย ความคิดเห็นวัดในรูปเห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วย ไม่มีความเห็น ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน วัดในรูป ดีขึ้นมาก ดีขึ้น คงเดิม เลวลง เลวลงมาก หรือวัดในรูป สูง ปานกลาง ต่ำ เป็นต้น การำหนดลำดับที่หรือตำแหน่งที่ของข้อมูลเชิงคุณภาพนี้ เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์จะต้องแทนลำดับที่หรือตำแหน่งที่เหล่านี้ด้วยตัว เลข เช่น ให้ตัวเลขที่มีค่ามากใช้แทนลักษณะหรือความรู้สึกที่ดี
               ชอบมากที่สุด   หรือ   เห็นด้วยอย่างยิ่ง         แทนด้วย   4
               ชอบมาก           หรือ   เห็นด้วย                     แทนด้วย   3
               ชอบปานกลาง  หรือ   ไม่มีความเห็น            แทนด้วย   2
               ชอบน้อย           หรือ   ไม่เห็นด้วย                แทนด้วย   1
               ไม่ชอบเลย         หรือ   ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง   แทนด้วย   0
          ในกรณีที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใดไม่สามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่ ได้ เช่น กลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลกับกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนเอกชน หรือ กลุ่มพนักงานชายกับกลุ่มพนักงานหญิง หากมีความจำเป็นต้องกำหนดเป็นจำนวนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทาง สถิติอาจใช้ 0 แทนกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลหรือกลุ่มพนักงานชาย และใช้ 1 แทนกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเอกชนหรือกลุ่มพนักงานหญิงจำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้ไม่สามารถนำไปตีความหมายในเชิงปริมาณได้  ความหมายของจำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทน กลุ่มต่าง ๆ เท่านั้น

               วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล 
           วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ  ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหนังสือ รายงาน บทความหรือเอกสารต่าง ๆ ควรดำเนินการดังต่อไปนี้
          (1) พิจารณาตัวบุคคลผู้เขียนรายงาน บทความ หรือเอกสารเหล่านั้นเสียก่อนว่าเป็นผู้มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง ที่เขียนถึงขั้นพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่ การเขียนอาศัยเหตุผลและหลักวิชาการมากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่จะนำมาใช้ซึ่งรวบรวมจากรายงาน บทความ หรือเอกสารดังกล่าวควรใช้ข้อมูลที่ผู้เขียนเก็บรวบรวมมาเองโดยตรง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจหรือสำมะโน หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรใช้ข้อมูลที่ผูเขียนนำมาจากแหล่งข้อมูลอื่น เนื่องจากอาจมีการคลาดเคลื่อนจากข้อมูลที่ควรจะเป็นจริงได้มาก
          (2) ถ้าข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมสามารถหาได้จากหลาย ๆ แหล่ง ควรเก็บรวบรวมมาจากหลาย ๆ แหล่งเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าข้อมูลที่ต้องการมีความผิดพลาดเนื่องจาก การลอกผิด พิมพ์ผิด หรือเข้าใจผิดบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลควรจะใช้ความรู้ความชำนาญของตนเองเกี่ยวกับ ข้อมูลเรื่องนั้น ๆ มาพิจารณาว่าข้อมูลที่จะนำมาใช้นั้นน่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เช่นจำนวนประชากรของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2546 ที่นำเสนออยู่ในรายงานฉบับหนึ่งเป็น 36 ล้านคน จำนวนดังกล่าวน่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่ถูกต้องควรจะเป็น 63 ล้านคน ความผิดพลาดดังกล่าง อาจเนื่องมาจากการคัดลอกของผู้นำเสนอหรือการพิมพ์ก็ได้ กล่าวคือคัดลอกหรือพิมพ์เลขโดดกลับกัน
          (3) พิจารณาจากลักษณะของข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมว่าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความ จริง ข้อมูลที่ได้จากทะเบียน ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติ ข้อมูลประเภทความลับ หรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ถ้าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความจริง ข้อมูลที่ได้จากทะเบียนหรือข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติส่วนใหญ่มัก จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้สูง แต่ถ้าเป็นข้อมูลประเภทความลับหรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จาก การตอบ ส่วนใหญ่มักจะมีความถูกต้องเชื่อถือได้น้อย
          (3) ถ้าข้อมูลทีเก็บรวบรวมได้มาจากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง หรือต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติมาก่อน ควรจะต้องตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง และวิธีการวิเคราะห์ว่าเหมาะสมที่จะใช้หรือไม่
           2) วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิซึ่งอาจทำได้โดยการสำมะโนหรือสำรวจสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันทั่ว ๆ ไปมี 5 วิธีคือ
           (1) การสัมภาษณ์  การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ นิยมใช้กันมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีอื่น ๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้คำตอบกลับคืนมามีมาก นอกจากนี้หากผู้ตอบข้อถามไม่เข้าใจข้อถามใด ๆ ก็สามารถถามได้จากผู้สัมภาษณ์โดยตรง แต่การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีนี้ ผู้สัมภาษณ์ต้องมีความซื่อสัตย์ไม่ตอบข้อถามแทนผู้ถูกสัมภาษณ์ เพราะจะทำให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความคลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็นจริงมาก
           (2) การสอบถามทางไปรษณีย์  การ เก็บรวบรวบโดยวิธีนี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมได้มาก และค่อนข้างแน่ใจได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามทุกคนได้รับความสะดวกในการตอบข้อถาม กล่าวคือจะตอบข้อถามเมื่อไรก็ได้ภายในระยะเวลาที่ผู้สำรวจได้กำหนดไว้ คำตอบที่ผู้สำรวจได้รับจะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำตอบที่จะทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามอาจเสียประโยชน์จากการตอบ คำถามนั้น ๆ เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามไม่จำเป็นต้องระบุชื่อของตนลงในแบบสอบถามก็ได้ แต่อาจมีจุดอ่อนถ้าผู้ตอบแบบสอบถามไม่เข้าใจปัญหาที่ถามอาจทำให้คำตอบผิด พลาดได้อีกประการหนึ่งผู้ถูกถามอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบข้อถามเองแต่ไปให้ผู้ อื่นตอบแทน ข้อมูลที่รวบรวมได้ก็อวจผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สำรวจยังไม่สามารถประมาณจำนวนแบบสอบถามที่จะได้รับกลับคืนมาว่า จะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งบางครั้งผู้สำรวจได้แบบสอบถามกลับคืนมาไม่เพียงพอที่จะทำการสรุปผลทั้ง หมดให้มีความเชื่อถือได้
           (3) การสอบถามทางโทรศัพท์  าร สอบถามวิธีนี้นิยมใช้น้อยกว่าวิธีอื่นถึงแม้ว่าการเลือกตัวอย่างผู้ตอบ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้อยก็ ตาม ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทำได้เฉพาะผู้ตอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เท่านั้น
          การสอบถามทางโทรศัพท์โดยทั่ว ๆ ไป มักใช้กับแบบสอบถามที่ไม่ใช้เวลาในการสัมภาษณ์มากนักและข้อมูลที่ต้องการถาม จากผู้ตอบสัมภาษณ์เป็นข้อมูลที่ผู้ตอบสัมภาษณ์สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้อง ไปค้นหาหลักฐานหรือสอบถามจากผู้อื่น การสอบถามทางโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่เสมอ ๆ เช่น การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังได้รับความสนใจ
           (4) การสังเกต การ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตมักใช้ประกอบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธี อื่น ๆ เชื่อถือได้ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความไม่ร่วมมือของผู้ให้ข้อมูลหรืออาจจะเกิดจากความ รู้ขั้นพื้นฐานหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ของผู้ตอบไม่ดีพอ เช่น การสอบถามเกี่ยวกับรายได้ของครอบครัวหรือกำไรของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ข้อมูลดังกล่าวนี้ผู้ตอบไม่ต้องการเปิดเผย นอกจากนี้อาจใช้การสังเกตเมื่อต้องการรวบรวมข้อมูลในเชิงลึก เช่น ครูสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการทำงานร่วมกัน และการมีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
           (5) การทดลอง  การ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องมีการทดลองหรือปฏิบัติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ ต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาแก้ปวดหลาย ๆ ชนิด ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากการทดลองนี้ จะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก ถ้าไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากการวัดหรือการวางแผนการทดลอง

             ปัญหาในการใช้ข้อมูล 
           ปัญหาในการใช้ข้อมูลทุติยภูมิ  การใช้ข้อมูลทุติยภูมิมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1)              ความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
2)              ความทันสมัยของข้อมูล
3)              การขาดหายใปของข้อมูลบางรายการ
 ปัญหาในการใช้ข้อมูลปฐมภูมิ  มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1)                       ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีเลือกตัวอย่างหรือวิธีการวางแผนการทดลองแบบใดจึงจะเหมาะสม
2)                       ไม่ทราบว่าจะประเมินความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างไร
3)                       ไม่ทราบ ว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรในกรณีข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ไม่ครบถ้วนหรือขาด หายไปมากเนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ให้ข้อมูล
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น