

ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน
อาจกล่าวได้ว่าต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา
การตัดสินใจดังกล่าวอาจจะเป็นการตัดสินใจเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว
เพื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูง หรือเพื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น
ตัดสินใจว่า วันนี้จะเดินทางไปโรงเรียนโดยใช้รถประจำทางสายใดดี
ตัดสินใจว่า
ควรจะซื้อประกันชีวิตแบบใดกับบริษัทใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
ตัดสินใจว่า
ควรจะเลือกซึ้อเครื่องปรับอากาศยี่ห้อใดจึงจะประหยัดพลังงานไฟฟ้า
ตัดสินใจว่า จะซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ยี่ห้อใดมาใช้งานในบริษัทหรือโรงงาน
การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้
แต่ละคนอาจมีวิธีตัดสินใจที่แตกต่างกันไป เช่น
บางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ประสบการณ์ของตนเองหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง
ใช้ความเชื่อของตนเองหรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ ใช้สามัญสำนึก หรือบางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหรือข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
การตัดสินใจโดยวิธีต่าง ๆ
ข้างต้นนี้บางครั้งก็ตัดสินใจถูกแต่บางครั้งก็ตัดสินใจผิด
ทั้งนี้ขี้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชื่อ สามัญสำนึก
หรือข้อมูลข่าวสารที่แต่ละคนมีอยู่ว่าถูกต้องและเหมาะสมกับลักษณะของปัญหา
ที่ผู้นั้นต้องตัดสินใจมากเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม
อาจกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะใช้วิธีการใดมาช่วย
ในการตัดสินใจก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลและข่าวสารไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ทั้งสิ้น ตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจว่าจะขายสินค้าในราคาที่ลูกค้าต่อรองหรือไม่
อาจพิจารณาลักษณะการเป็นลูกค้าของผู้ซื้อว่าเป็นลูกค้าประจำหรือลูกค้าจร
การตัดสินใจดังกล่าวข้างต้นหากผู้ตัดสินใจทราบหรือมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูล
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากเพียวใด
โอกาสที่จะตัดสินใจพลาดก็จะน้อยลงเพียงนั้น แต่การตัดสินใจบางเรื่อง การใช้ข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้โดยตรง
แต่จะต้องนำมาวิเคราะห์เสียก่อนซึ่งอาจใช้วิธีวิเคราะห์เบื้องต้นง่าย ๆ
เพื่อทราบลักษณะทั่ว ๆ ไปของข้อมูล เช่น การจำแนกข้อมูลตามลักษณะต่าง ๆ
ที่สำคัญเรียกว่าการแจกแจงความถี่ การหาสัดส่วนหรือร้อยละ
การหาค่าเฉลี่ยและค่าการกระจายของข้อมูล
ที่เรียกว่าค่ากลางและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตามลำดับ
หรืออาจใช้วิธีวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น การประมาณค่าข้อมูล
การทดสอบสมมุติฐานหรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและการพยากรณ์ข้อมูลในอนาคต
ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน
การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
ข้างต้นในบางเรื่องอาจจะไม่สามารถใช้ข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวได้
ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน
จึงจะนำมาใช้เพื่อการตัดสินใจได้ ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วนี้
ไม่ว่าจะวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เบื้องต้นหรือวิเคราะห์ขั้นสูงก็ตาม เรียกว่าสารสนเทศ
หรือข่าวสาร (Information)
กล่าว
โดยสรุปก็คือการตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อมูลและ
สารสนเทศซึ่งผู้ตัดสินใจมีอยู่เป็นสำคัญ
ข้อมูลและสารสนเทศดังกล่าวนี้สามารถหามาได้โดยใช้วิธีการทางสถิติซึ่งเป็น
วิชาการหรือเทคนิคเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลนั่นเอง
ใน
การใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและวางแผนไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจและวางแผนใน
ชีวิตประจำวันหรือในการประกอบอาชีพก็ตาม
ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องทราบว่ามีข้อมูลและ/หรือข่าวสารที่จำเป็นอะไรบ้างที่
สามารถนำมาใช้ช่วยในการตัดสินใจได้หากต้องการใช้ข้อมูลใดก็จะต้องตรวจสอบ
เสียก่อนว่ามีใครหรือหน่วยงานใดเป็นผู้ผลิตหรือเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้
หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ
ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีข้อมูลที่ต้องการก่อนจะนำมาใช้ก็ต้องตรวจสอบ
ความครบถ้วน ความทันสมัยและความเชื่อถือได้ของข้อมูลเสียก่อน
หากข้อมูลขาดสมบัติดังกล่าว ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเอง
การเก็บรวบรวมข้อมูลเองนี้หากข้อมูลที่ต้องการทราบมีขอบเขตกว้างขวาง
อาจจำเป็นต้องใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างจำนวนหนึ่งที่เลือกมาเป็น
ตัวแทนของผู้ให้ข้อมูลเท่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการ
เก็บรวบรวมข้อมูล การที่จะได้ตัวอย่างมาเป็นตัวแทนที่ดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการนี้
จะต้องใช้วิธีเลือกตัวอย่าง และจำนวนตัวอย่างที่เหมาะสมด้วย
สำหรับสารสนเทศที่จำเป็นต้องใช้ในการตัดสินใจและวางแผนนั้น
ผู้ตัดสินใจจะต้องเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับคำตอบที่ต้องการได้
รับเสียก่อน ที้งนี้เนื่องจากโดยที่ว ๆ ไป
วิธีใช้ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับวัตถุประสงค์เดียวกันมักมีหลายวิธี เช่น
การหาค่ากลางหรือตัวแทนของข้อมูลอาจจะใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน
หรือฐานนิยมก็ได้
การหาค่ากลางแต่ละวิธีก็มีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลหรือวัตถุประสงค์ ของผู้วิเคราะห์
ตัวอย่างเช่น การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้ต่อเดือนของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม
หากรายได้ของพนักงานแต่ละคนใกล้เคียงกัน อาจใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตได้
แต่ถ้าพนักงานส่วนน้อยมีรายได้สูงมาก เมื่อเทียบกับพนักงานส่วนใหญ่
การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้อาจจำเป็นต้องใช้ค่ามัธยฐานแทน
หรือในการพยากรณ์ยอดขายสินค้าของบริษัทในปีถัดไป ผู้พยากรณ์
อาจต้องการทราบแต่เพียงว่าปีหน้าบริษัทควรจะขายสินค้าได้เท่าไร
หรือต้องการทราบทั้งยอดขายสินค้าในปีหน้า
และปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายสินค้าดังกล่าวด้วย
การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์แรกอาจใช้วิธีวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time series
analysis) แต่การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์หลังอาจใช้วิธีวิเคราะห์ความถดถอย
(Regression analysis)
การวิเคราะห์โดยวิธีทั้งสองนี้จะใช้ข้อมูลที่แตกต่างกัน นั่นคือ
วิธีวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นตัวกำหนดข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้
ดังนั้นโดยทั่ว
ๆ ไปหากผู้วิเคราะห์ยังไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีใดจะไม่สามารถกำหนด
ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ได้
จึงอาจสรุปได้ว่าผู้วิเคราะห์ไม่ควรเริ่มต้นการใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและ
วางแผนโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนแล้วค่อยมาหาวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไป
วิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้เพราะผู้วิเคราะห์อาจำม่สามารถหาวิธีวิเคราะห์ใดที่เหมาะสมกับข้อมูล
ที่มีอยู่แล้วได้
เนื่องจากขาดสมบัติบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีนั้น ๆ
อมูลและการเก็บรวบรวมข้อมูล
ความหมายของข้อมูล
ข้อมูล
เป็นข้อความจริงหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพ สถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง
โดยที่ข้อมูลอาจเป็นตัวเลขหรือข้อความก็ได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2547
คณะรัฐมนตรีกำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก
หรือในเดือนกันยายน 2547 น้ำมันเบนซิน 91 จำหน่ายในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราคาลิตรละ
20.99 บาท โดยทั่ว ๆ ไป ข้อมูลมักจะอยู่ในรูปตัวเลขซึ่งมีหลาย ๆ
จำนวนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบขนาดกันได้ เช่น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30
กันยายน 2547 ไทยส่งออกข้าวไปยังประเทศหนึ่งรวม 2.88 ล้านตัน ลดลงจาก 5.00 ล้านตัน
ของการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.4
ข้อมูลเชิงสถิติเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาประมวลผลหรือวิเคราะห์ด้วยกระบวนการ
หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ ได้
ประเภทของข้อมูล
ประเภทของข้อมูลสามารถจำแนกได้จากวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
และจากลักษณะของข้อมูล
การจำแนกข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
เมื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมจะแบ่งได้เป็น
2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ข้อมูลปฐมภูมิ (primary
data) และ ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data)
1) ข้อมูลปฐมภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้จะต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดย
ตรง ซึ่งอาจทำได้โดยการสัมภาษณ์ วัด นับ หรือสังเกตจากแหล่งข้อมูลโดยตรง
เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีผู้ใดเก็บรวบรวมไว้ก่อน
การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ทำได้ 2 วิธีคือ การสำมะโน (census) และการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง (sample
survey)
(1) การสำมะโน คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ
หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษา
ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวม ข้อมูลมาก
การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีนี้จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในทางปฏิบัติ
ยกเว้นกรณีที่ประชากรมีขนาดเล็กหรือมีขอบเขตไม่กว้างขวางนัก
(2) การสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง
คือการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบางหน่วยที่เลือกมาเป็นตัวแทนจากทุก ๆ
หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษาเท่านั้นเนื่องจากการเก็บรวบรวม
ข้อมูลจากทุกหน่วยของประชากร อาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น
เพราะสิ่งที่ต้องการศึกษาอาจจะมีบางกลุ่มที่มีลักษณะที่ต้องการศึกษาอยู่ เหมือน ๆ
กัน หรือใกล้เคียงกันมาก
การเลือกตัวอย่างหรือตัวแทนของแต่ละกลุ่มมาทำการศึกษาก็เป็นการเพียงพอที่จะ
ทำให้สามารถประมาณค่าของสิ่งที่เราต้องการศึกษาทั้งหมดได้ เช่น
การสำรวจราคาเฉลี่ยของสินค้าชนิดหนึ่งที่มีขนาดบรรจุใกล้เคียงกันจากร้านค้า
ปลีกทั่วประเทศ ราคามักจะใกล้เคียงกันด้วย
ดังนั้นเราอาจเลือกร้านค้าปลีกเพียงบางร้านมาเป็นตัวแทนของร้านค้าปลีกทั้ง หมดได้
แต่จำนวนร้านค้าปลีกที่เลือกมาเป็นตัวแทนจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดขึ้น
อยู่กับความต้องการของผู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่าต้องการให้ราคาเฉลี่ยของราคา
สินค้าชนิดนั้นที่หาได้จากราคาสินค้าในร้านค้าตัวอย่างที่เลือกขึ้นมาเพื่อ
เก็บรวบรวมข้อมูลนี้ใกล้เคียงกับค่าที่ควรเป็นจริงซึ่งได้จากการเก็บรวบรวม
ข้อมูลจากร้ายค้าปลีกทุก ๆ ร้านมากน้อยเพียงใด
ถ้าต้องการให้ได้ผลใกล้เคียงมากก็ควรเลือกตัวอย่างร้านค้าปลีกมาเก็บรวบรวม
ข้อมูลเป็นจำนวนมาก
2) ข้อมูลทุติยภูมิ คือ
ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูล โดยตรง
แต่ได้จากข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้ว ข้อมูลประเภทนี้
ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอง
สามารถนำข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ได้เลย
แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้จะต้องระมัดระวังในการนำข้อมูลประเภทนี้มาใช้ให้มาก
เนื่องจากมีโอกาสผิดพลากได้มากหากผู้เก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่างใช้วิธีเก็บ
รวบรวมข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
แหล่งที่มาของข้อมูลทุติยภูมิที่สำคัญ คือ
(1) รายงานต่าง
ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาล โดยทั่ว ๆ ไป
หน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐบาล มักจะมีรายงานแสดงข้อมูลพิมพ์ออกมาเผยแพร่เป็นประจำซึ่งอาจเป็นรายงานราย
เดือน รายสามเดือน หรือรายปี ข้อมูลที่ได้จากรายงานต่าง ๆ
ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาลนี้อาจถือได้ว่าเป็นที่มาของข้อมูล
ทุติยภูมิที่สำคัญที่สุด
(2) รายงานและบทความจากหนังสือหรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน
หน่วยงานของเอกชนบางแห่งโดยเฉพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ
จะพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของตนออกเผยแพร่เช่นเดียวกับหน่วยงาน
ของราชการ เช่น รายงานประจำเดือนของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน
หรือสื่ออื่น ๆ มักจะมีข้อมูลทุติยภูมิประกอบบทความหรือรายงานด้วย
การจำแนกประเภทของข้อมูลคามลักษณะของข้อมูล
เมื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามลักษณะของข้อมูลจะจำแนกเป็น 2
ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative
data) และข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data)
1) ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ
ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณซึ่งวัดออกมาเป็นจำนวนที่สามารถนำมาใช้เปรียบ
เทียบกันได้โดยตรง เช่นปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกในแต่ละปี
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ จำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ยของครอบครัวไทย
2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ
ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นจำนวนได้โดยตรงแต่อธิบายลักษณะหรือคุณสมบัติ
ในเชิงคุณภาพได้ เช่น
เพศของสมาชิกในครอบครัวสถานภาพสมรสของพนักงานในบริษัทห้างร้านหรือความคิด
เห็นของประชาชน การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ส่วนใหญ่ทำโดยการนับจำนวนจำแนกตามลักษณะเชิง
คุณภาพ เช่น นับจำนวนพนักงานที่เป็นโสด ที่สมรสแล้ว ที่หย่าร้าง
และที่เป็นหม้ายว่ามีอย่างละกี่คน
ข้อมูลเชิงคุณภาพบางลักษณะสามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่ได้ เช่น
ความชอบ วัดในรูป ชอบมากที่สุด ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบน้อย ไม่ชอบเลย ความคิดเห็นวัดในรูปเห็นด้วยอย่างยิ่งเห็นด้วย
ไม่มีความเห็น ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
วัดในรูป ดีขึ้นมาก ดีขึ้น คงเดิม เลวลง เลวลงมาก หรือวัดในรูป สูง ปานกลาง ต่ำ
เป็นต้น การำหนดลำดับที่หรือตำแหน่งที่ของข้อมูลเชิงคุณภาพนี้ เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์จะต้องแทนลำดับที่หรือตำแหน่งที่เหล่านี้ด้วยตัว
เลข เช่น ให้ตัวเลขที่มีค่ามากใช้แทนลักษณะหรือความรู้สึกที่ดี
ชอบมากที่สุด หรือ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แทนด้วย 4
ชอบมาก
หรือ เห็นด้วย
แทนด้วย 3
ชอบปานกลาง หรือ ไม่มีความเห็น
แทนด้วย 2
ชอบน้อย
หรือ ไม่เห็นด้วย
แทนด้วย 1
ไม่ชอบเลย หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
แทนด้วย 0
ในกรณีที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใดไม่สามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่
ได้ เช่น กลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลกับกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนเอกชน หรือ
กลุ่มพนักงานชายกับกลุ่มพนักงานหญิง
หากมีความจำเป็นต้องกำหนดเป็นจำนวนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทาง สถิติอาจใช้
0 แทนกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลหรือกลุ่มพนักงานชาย และใช้ 1
แทนกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเอกชนหรือกลุ่มพนักงานหญิงจำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้ไม่สามารถนำไปตีความหมายในเชิงปริมาณได้
ความหมายของจำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทน
“กลุ่ม” ต่าง ๆ เท่านั้น
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหนังสือ รายงาน บทความหรือเอกสารต่าง ๆ
ควรดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาตัวบุคคลผู้เขียนรายงาน บทความ หรือเอกสารเหล่านั้นเสียก่อนว่าเป็นผู้มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในเรื่อง
ที่เขียนถึงขั้นพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่
การเขียนอาศัยเหตุผลและหลักวิชาการมากน้อยเพียงใด
ข้อมูลที่จะนำมาใช้ซึ่งรวบรวมจากรายงาน บทความ
หรือเอกสารดังกล่าวควรใช้ข้อมูลที่ผู้เขียนเก็บรวบรวมมาเองโดยตรง เช่น
ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจหรือสำมะโน
หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรใช้ข้อมูลที่ผูเขียนนำมาจากแหล่งข้อมูลอื่น
เนื่องจากอาจมีการคลาดเคลื่อนจากข้อมูลที่ควรจะเป็นจริงได้มาก
(2) ถ้าข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมสามารถหาได้จากหลาย ๆ แหล่ง ควรเก็บรวบรวมมาจากหลาย
ๆ แหล่งเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าข้อมูลที่ต้องการมีความผิดพลาดเนื่องจาก
การลอกผิด พิมพ์ผิด หรือเข้าใจผิดบ้างหรือไม่
นอกจากนี้ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลควรจะใช้ความรู้ความชำนาญของตนเองเกี่ยวกับ
ข้อมูลเรื่องนั้น ๆ มาพิจารณาว่าข้อมูลที่จะนำมาใช้นั้นน่าจะเป็นไปได้หรือไม่
เช่นจำนวนประชากรของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2546 ที่นำเสนออยู่ในรายงานฉบับหนึ่งเป็น
36 ล้านคน จำนวนดังกล่าวน่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่ถูกต้องควรจะเป็น 63 ล้านคน
ความผิดพลาดดังกล่าง อาจเนื่องมาจากการคัดลอกของผู้นำเสนอหรือการพิมพ์ก็ได้
กล่าวคือคัดลอกหรือพิมพ์เลขโดดกลับกัน
(3)
พิจารณาจากลักษณะของข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมว่าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความ จริง
ข้อมูลที่ได้จากทะเบียน ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติ ข้อมูลประเภทความลับ
หรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ถ้าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความจริง
ข้อมูลที่ได้จากทะเบียนหรือข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติส่วนใหญ่มัก
จะมีความถูกต้องเชื่อถือได้สูง
แต่ถ้าเป็นข้อมูลประเภทความลับหรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จาก การตอบ
ส่วนใหญ่มักจะมีความถูกต้องเชื่อถือได้น้อย
(3) ถ้าข้อมูลทีเก็บรวบรวมได้มาจากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง
หรือต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติมาก่อน
ควรจะต้องตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง
และวิธีการวิเคราะห์ว่าเหมาะสมที่จะใช้หรือไม่
2) วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิซึ่งอาจทำได้โดยการสำมะโนหรือสำรวจสามารถทำได้หลายวิธี
แต่วิธีที่นิยมใช้กันทั่ว ๆ ไปมี 5 วิธีคือ
(1) การสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์
นิยมใช้กันมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีอื่น ๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้คำตอบกลับคืนมามีมาก
นอกจากนี้หากผู้ตอบข้อถามไม่เข้าใจข้อถามใด ๆ ก็สามารถถามได้จากผู้สัมภาษณ์โดยตรง
แต่การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีนี้
ผู้สัมภาษณ์ต้องมีความซื่อสัตย์ไม่ตอบข้อถามแทนผู้ถูกสัมภาษณ์
เพราะจะทำให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความคลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็นจริงมาก
(2) การสอบถามทางไปรษณีย์ การ เก็บรวบรวบโดยวิธีนี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมได้มาก
และค่อนข้างแน่ใจได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามทุกคนได้รับความสะดวกในการตอบข้อถาม
กล่าวคือจะตอบข้อถามเมื่อไรก็ได้ภายในระยะเวลาที่ผู้สำรวจได้กำหนดไว้
คำตอบที่ผู้สำรวจได้รับจะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำตอบที่จะทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามอาจเสียประโยชน์จากการตอบ
คำถามนั้น ๆ
เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามไม่จำเป็นต้องระบุชื่อของตนลงในแบบสอบถามก็ได้
แต่อาจมีจุดอ่อนถ้าผู้ตอบแบบสอบถามไม่เข้าใจปัญหาที่ถามอาจทำให้คำตอบผิด
พลาดได้อีกประการหนึ่งผู้ถูกถามอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบข้อถามเองแต่ไปให้ผู้
อื่นตอบแทน ข้อมูลที่รวบรวมได้ก็อวจผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ผู้สำรวจยังไม่สามารถประมาณจำนวนแบบสอบถามที่จะได้รับกลับคืนมาว่า
จะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งบางครั้งผู้สำรวจได้แบบสอบถามกลับคืนมาไม่เพียงพอที่จะทำการสรุปผลทั้ง
หมดให้มีความเชื่อถือได้
(3) การสอบถามทางโทรศัพท์ การ สอบถามวิธีนี้นิยมใช้น้อยกว่าวิธีอื่นถึงแม้ว่าการเลือกตัวอย่างผู้ตอบ
สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้อยก็ ตาม
ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทำได้เฉพาะผู้ตอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เท่านั้น
การสอบถามทางโทรศัพท์โดยทั่ว ๆ ไป
มักใช้กับแบบสอบถามที่ไม่ใช้เวลาในการสัมภาษณ์มากนักและข้อมูลที่ต้องการถาม
จากผู้ตอบสัมภาษณ์เป็นข้อมูลที่ผู้ตอบสัมภาษณ์สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้อง
ไปค้นหาหลักฐานหรือสอบถามจากผู้อื่น การสอบถามทางโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่เสมอ ๆ เช่น
การสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังได้รับความสนใจ
(4) การสังเกต การ
เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตมักใช้ประกอบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธี อื่น ๆ
เชื่อถือได้
ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความไม่ร่วมมือของผู้ให้ข้อมูลหรืออาจจะเกิดจากความ
รู้ขั้นพื้นฐานหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ของผู้ตอบไม่ดีพอ เช่น
การสอบถามเกี่ยวกับรายได้ของครอบครัวหรือกำไรของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ข้อมูลดังกล่าวนี้ผู้ตอบไม่ต้องการเปิดเผย
นอกจากนี้อาจใช้การสังเกตเมื่อต้องการรวบรวมข้อมูลในเชิงลึก เช่น
ครูสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการทำงานร่วมกัน และการมีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
(5) การทดลอง การ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องมีการทดลองหรือปฏิบัติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่
ต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาแก้ปวดหลาย ๆ ชนิด
ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากการทดลองนี้ จะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก
ถ้าไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากการวัดหรือการวางแผนการทดลอง
ปัญหาในการใช้ข้อมูล
ปัญหาในการใช้ข้อมูลทุติยภูมิ การใช้ข้อมูลทุติยภูมิมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1)
ความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
2)
ความทันสมัยของข้อมูล
3)
การขาดหายใปของข้อมูลบางรายการ
ปัญหาในการใช้ข้อมูลปฐมภูมิ มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ
ดังต่อไปนี้
1)
ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีเลือกตัวอย่างหรือวิธีการวางแผนการทดลองแบบใดจึงจะเหมาะสม
2)
ไม่ทราบว่าจะประเมินความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างไร
3)
ไม่ทราบ
ว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรในกรณีข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ไม่ครบถ้วนหรือขาด
หายไปมากเนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ให้ข้อมูล


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น